วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หยุดพฤติกรรมการเปลี่ยนกลยุทธ์การเทรด

หยุดพฤติกรรมการเปลี่ยนกลยุทธ์การเทรด

เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนมากมักจะมัวแต่นั่งหาระบบที่เทรดที่ดีที่สุด พอเปลี่ยนระบบเทรดไปเรื่อยๆ เพื่อระบบที่สามารถทำกำไรได้ที่ดีสุด แต่เทรดเดอร์มืออาชีพที่สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องมักไม่มานั่งเปลี่ยนระบบเทรด แต่จะนั่งพัฒนาระบบที่ใช้อยู่ให้ดีขึ้น ถ้าใครอยู่ในวงการเทรดเดอร์มานานจะรู้ดีว่าสิ่งนี้เหละคือความจริงที่เกิดขึ้น

กลยุทธ์ กับ บันทึกการเทรด
กลยุทธ์การเทรดนั้นเป็นตัวบ่งชี้ว่าเทรดเดอร์ควรทำอะไร เมื่อไร่ และความเสี่ยงเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามบันทึกการเทรดคล้ายกับการแข่งรถที่เวลาเจอโค้ง แล้วเราชนมันตลอดทุกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่หาเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะยางรถยนต์ , วิธีการเลี้ยว , หรืออาจเป็นเพราะปัญหาอื่นๆ ถ้าคุณไม่หาเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดขึ้น คุณก็จะชนมันตลอดทุกครั้งในการเลี้ยง
เหมือนกับการเทรดแหละ บันทึกการเทรดจะเป็นตัวบอกว่า ปัญหาที่เราเทรดแพ้นั้นมาจากอะไร ทำไมถึงเทรดครั้งนั้นผิดพลาด ซึ่งเราสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

เหตุผลที่บันทึกการเทรดช่วยพัฒนากลยุทธ์การเทรด
#1 สามารถระบุความผิดพลาดของคุณได้ และเป็นตัวคอยเตือนให้เราไม่กลับไปทำอีก
#2 วิเคราะห์ความผิดพลาดจากผลที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้มาจากการคาดเดา
#3 คำนวณความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ป้องกันไม่ให้พอร์ตแตก

พยายามหยุดพฤติกรรมเปลี่ยนระบบหรือกลยุทธ์เทรดที่ใช้อยู่ ควรใช้การพัฒนาแทนที่จะใช้การเปลี่ยน คล้ายกับการเล่นกีฬา สมมติเราเริ่มเล่นว่ายน้ำ แล้วก็เปลี่ยนไปเล่นพายเรือ แล้วก็เปลี่ยนไปตีปิงปอง จนสุดท้ายไม่เก่งอะไรสักอย่างเลย การเทรดก็เช่นกัน การเปลี่ยนกลยุทธ์หรือระบบการเทรดเปรียบเหมือนกับการเริ่มต้นใหม่ ต้องนับ 1 ใหม่ ทำให้เสียทั้งเวลาและเงินทุน ดังนั้นควรค่อยๆพัฒนาระบบที่ใช้อยู่ให้ดีขึ้นดีกว่า

ทีมงาน : forexinvestingthai.com

ที่ปรึกษาในการเทรด

ที่ปรึกษาในการเทรด


เทรดเดอร์ที่มีที่ปรึกษาในการเทรดสามารถเป็นตัวช่วยร่นระยะเวลาการฝึกได้เยอะเลยทีเดียว สามารถบอกวิธีการฝึกต่างๆที่เหมาะสมกับเราได้ เนื่องจากตัวที่ปรึกษานั้นเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ในการเทรดมาแล้ว สามารถมองข้อดีและข้อเสียของเราออก ให้บอกได้ว่าเราคุณพัฒนาในจุดใดบ้าง แต่อย่างไรก็ดี เทรดเดอร์คนไหนที่ไม่มีที่ปรึกษาส่วนตัว ไม่เป็นไรครับ บันทึกการเทรดเนี่ยเหละเป็นที่ปรึกษาของเราดีที่สุดแล้ว
ข้อแตกต่างระหว่างครูกับที่ปรึกษา
ครู : สอนแต่ทฤษฎี
ที่ปรึกษา : สอนปฏิบัติจริง
ลักษณะของที่ปรึกษาที่ดี
  • ที่ปรึกษาที่ดีควรปล่อยให้เทรดเดอร์ได้เรียนรู้การผิดพลาด ไม่ควรขัดจังหวะการเทรดในกรณีที่กำลังจะทำผิดวิธี ที่ปรึกษาจะเข้าใจว่าการผิดพลาดที่เกิดขึ้นของเทรดเดอร์นั้นจะเป็นบทเรียนที่สำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการของการเรียนรู้
  • ที่ปรึกษาที่ดีควรจะรู้ถึงจุดเด่นและจุดด้อยของเทรดเดอร์ จะได้ปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เทรดเดอร์ขาดหายหรือส่วนที่ยังทำได้ไม่ดีพอ
  • ที่ปรึกษาที่ดีควรแนะนำเทรดเดอร์ในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อมอบเส้นทางการเดินให้เทรดเดอร์เดินไปได้อย่างถูกทาง และคอยให้คอยแนะนำอย่างต่อเนื่อง

อย่างกล่าวในข้างต้นว่าเทรดเดอร์บางคนอาจหาที่ปรึกษาไม่ได้จริงๆ อาจจะหันมาใช้โปรแกรมในการวิเคราะห์การเทรดของตัวเทรดเดอร์เองได้ มีหลาย Website ที่ให้บริการเช่นนี้ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยการพัฒนาการเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพให้อย่างถูกต้อง

ทีมงาน : forexinvestingthai.com

ความสำคัญของ “ดอลลาร์สหรัฐ”

ความสำคัญของ “ดอลลาร์สหรัฐ”

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นศูนย์กลางของค่าเงินในโลกทั้งหมด เนื่องจากเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้วว่าประเทศสหรัฐ นั้นมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 ของโลก ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งการมูลค่าการขึ้นลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ นั้นจะมีผลต่อตลาดต่างๆ ทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ , ตลาดหุ้น , รวมค่าเงินหลายๆประเทศ รวมมีดูความสัมพันธ์กันว่าแต่ละตลาดเนี่ย เป็นมีความสัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไร

# ตลาดหุ้น (สหรัฐ) :  ในอดีตค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กับ ตลาดหุ้นในสหรัฐ นั้นมีทิศทางสวนทางกัน เมื่อดอลลาร์ขึ้น ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวลง เนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์นั้นมีผลต่อกำไรของบริษัทใหญ่ๆทั้งหลายในสหรัฐที่รายได้มาจากการส่งออกเป็นหลัก ค่าเงินในประเทศที่แข็งนั้นทำให้รายได้ของบริษัทลดลง เพราะรายได้จากบริษัทในสหรัฐส่วนมากมาจากการส่งออก จึงเป็นผลให้ค่าเงินดอลลาร์ สวนทางกับทิศทางของตลาดหุ้น
แต่อย่างไรก็ตามหลังปีหลังๆที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐ กับ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ได้เคลื่อนไหวกลับมาเป็นทิศทางเดียวกัน เนื่องจากผลการทำ QE ทำให้ปริมาณเงินในระบบมีมาก นักลงทุนจึงซื้อทั้งดอลลาร์สหรัฐ และซื้อทั้งหุ้น

# น้ำมัน และ สินค้าโภคภัณฑ์ : ความสัมพันธ์ของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กับ ราคาน้ำมัน และ สินค้าโภคภัณฑ์ ปกตินั้นเป็นลบอยู่แล้ว เนื่องจาก ราคาน้ำมัน และ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อยู่ในรูปของสกุลเงินดอลลาร์เป็นหลักอยู่แล้ว (เช่น ราคาน้ำมัน WTI อยู่ที่ $50 ต่อ barrel เป็นต้น) ถ้าค่าเงินดอลลาร์แข็ง ก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมัน และ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ปรับตัวลดลง

เสริมนิดนึงคือ และถ้ามาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาน้ำมัน กับ ตลาดหุ้น จะเห็นได้ว่ามีทิศทางตรงกันข้ามเช่นกัน เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ถ้าหากราคาน้ำมันลดลง ต้นทุนของการผลิต ก็จะปรับตัวลงตาม ส่งผลให้รายได้บริษัทสูงขึ้น บริษัทได้ประโยชน์จากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน อีกทั้งผู้บริโภคก็สามารถบริโภคได้มากขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายในส่วนของราคาน้ำมันในการขับขี่ลดลงเช่นกัน
# ตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) : ต้องเข้าใจก่อนว่าในการพัฒนาเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ต้องอาศัยการกู้ยืมเงินเพื่อมาลงทุนในประเทศ ซึ่งเงินที่กู้ยืมโดยหลักๆนั้นเป็นในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การชำระคืนเงินกู้นั้นก็ต้องเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การที่ดอลลาร์แข็งค่าเงินทำให้หนี้ที่กู้ยืนมายิ่งมีค่าสูงขึ้น เพราะการชำระคืนเงินกู้นั้นต้องใช้ค่าเงินในประเทศเกิดใหม่ ไปแลกเป็นดอลลาร์เพื่อไปชำระเงินกู้

ทีมงาน : forexinvestingthai.com

ความจริงเกี่ยวกับการเทรด

ความจริงเกี่ยวกับการเทรด

ลองมาดูคำพูดเกี่ยวกับความจริงในการเทรด Forex ว่าแต่ละอย่างนั้นเป็นอย่างไร อะไรบ้างที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการเทรด และอะไรบ้างที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
# ถ้าเป้าหมายทำกำไรของคุณต่ำกว่า 5 pips คุณจะโดนค่า Commissions และ Spread กิน
# เมื่อเกิดความเครียดในการเทรดคุณควรจะหากิจกรรมที่ระบายความเครียดนั้นออกไป เช่น กีฬา , ดื่ม , วาดรูป , หาเพื่อน หรือ อะไรก็ได้
# ถ้าได้ Mentor (ที่ปรึกษา) ในการเทรดที่ดี มันจะทำให้คุณพัฒนาอย่างรวดเร็ว
# สไตล์การเทรดควรจะเข้ากับบุคลิกของคุณ
# ไม่ควรเทรดเกินวันละ 4 ชม.

# การเทรดมากเกินไป เป็นหายนะ
# เมื่อคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับการพลาดการเทรดบางครั้งไป คุณเริ่มเข้าใกล้ที่จะจุดที่สามารถทำกำไรจากการเทรดได้
# การเทรดในช่วงที่มีข่าวสำคัญๆ ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะในช่วงนั้นราคาผันผวนก็จริง แต่ความผันผวนนั้นสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาสารได้เช่นกัน เพียงแต่รอตลาดเฉลยความจริงออกมา เราก็แค่อยู่ฝั่งความจริงนั้น
# ปล่อยให้ราคาสร้างรูปแบบราคาก่อน แล้วก็เข้าเทรดรูปแบบนั้น
# ไม่ควรเปลี่ยนระบบการเทรด แต่ควบพัฒนาระบบการเทรดที่ตัวเองใช้อยู่
# ไม่ใช้ Leverage มากเกินไป
# มันเป็นไปได้ที่พอร์ตเล็กๆ จะโตเป็นพอร์ตใหญ่ แต่ไม่ใช่ช่วงข้ามคืน อย่าพึ่งคาดหวังมันจนกว่าคุณจะเทรดอยู่รอดตลอด 5 ปี
# การเทรดบางครั้งก็เร็ว บางครั้งก็ช้า บางครั้งก็พลาด

# ความเสี่ยงในการเทรดต่อครั้ง ควรขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของคุณ และความเสี่ยงที่รับได้ของคุณเมื่อเห็นพอร์ตสวิง (ประมาณว่า ลบเท่าไร่แต่ยังรู้สึกดีอยู่)
# รู้ว่ากำไรมากจากไหน รู้ว่ากำลังเทรดอะไร รู้ว่าเป้าหมายในอนาคตจะเป็นอย่างไร
# Day trade ไม่ได้ง่ายไปกว่า Swing trade เลย ทั้ง 2 สไตล์นี้ใช้ความสามารถคนละแบบ
# เชื่อความรู้สึกของคุณ ถ้าคุณชอบเทรด … เทรดมัน ถ้าคุณไม่ได้ชอบเทรด … ไปทำอย่างอื่น
# ถ้าไม่รู้จักเจ็บ ก็จะไม่รู้จะโต การแพ้ไม่ใช่สิ่งผิด ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด
# ต้องมีบันทึกการเทรด และทบทวนมัน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
# ในปีแรก พยายามเรียนรู้กลยุทธ์หลายๆอย่าง หลายๆตลาด เพื่อหาว่ากลยุทธ์ไหนที่เหมาะสมกับเรา
# การจ้องหน้าจอดูกราฟไม่ได้ช่วยอะไร การทบทวนบันทึกการเทรดเท่านั้นที่จะเป็นตัวพัฒนา

# การเทรดไม่ต้องใช้สติปัญญาที่ดีเลิศ เทรดเดอร์ที่ดีรู้ว่าแค่ใช้แนวคิดง่ายๆ ก็สามารถสร้างกำไรได้ แค่รู้ว่าอะไรทำได้ ไม่มี ego และละเลยต่อสิ่งที่เป็นเรื่องมโน
# ผลลัพธ์ ไม่สำคัญเท่าวิธีการ
# ถ้าอ่านหนังสือเทรดได้แค่ 2 เล่ม ซึ่ง 2 เล่นนั้นควรเป็น Pit bull โดย Marty Schwartz กับ Diary of a professional commodity trader โดย Peter Brandt
# การวางแผนการเทรดให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพต้องทำ
# เรียนรู้รูปแบบราคาต่างๆ เช่น H&S , Wedges , สามเหลี่ยม ต่างๆ ให้ซึมเข้าไปในหัว มันจะคอยช่วยสร้างกำไรให้เรา
# เชื่อมั่นในความสามารถเรา กลยุทธ์ที่เราใช้

ทีมงาน : forexinvestingthai.com

ขนาดพอร์ตต้องเท่าไหร่

ขนาดพอร์ตต้องเท่าไหร่
เป็นคำถามที่เทรดเดอร์ที่จะออกมาเป็นเทรดเดอร์เต็มตัวว่า ขนาดพอร์ตต้องเท่าไหร่ถึงจะออกมาเทรดอย่างเต็มตัวได้ ขอตอบสั้นๆ ก่อนเลยว่า ต้องใหญ่พอสมควร ถึงจะทำอย่างนี้ได้ เดี๋ยวจะอธิบายว่าทำไม และต้องเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
อาชีพเทรดเดอร์คล้ายกับการทำธุรกิจของตัวเองนั่นเหละ แล้วหนึ่งสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินธุรกิจไปต่อได้นั้นคือ สายป่านไม่พอ หรือ เงินทุนไม่พอนั่นเอง ธุรกิจที่ขนาดใหญ่มักมีความได้เปรียบในเรื่อง Economy of scale (การประหยัดต่อขนาด) ส่วนธุรกิจขนาดเล็กมักเสียเปรียบเรื่องนี้ การเทรดก็เช่นกัน ถ้าโบรกเกอร์คิดค่า Commissions เป็น Spread ออเดอร์ขนาดใหญ่มักจะได้เปรียบเรื่องค่า Commissions ตรงนี้ มากกว่าออเดอร์ขนาดเล็ก
และอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เทรดเดอร์ที่มีพอร์ตขนาดเล็กมักจะไม่ประสบความสำเร็จ คือ มักจะ Overtrading หรือเทรดเกินตัว เนื่องจากทุกคนที่เข้ามาในตลาด Forex 99% เลยต้องการที่จะรวย ต้องการปั้นพอร์ตให้โตเร็วๆ ต้องการลาออกจากงานประจำ หลายคนเชื่อคำพูดที่ว่า ตลาด Forex สามารถสร้างเงินจาก 1,000 ไปสู่ 100,000 ภายในไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งมันไม่ฟังดูตลกมาก ไม่สมเหตุสมผลเลย ถ้าทุกคนทำได้อย่างงี้ ก็รวยกันไปทั้งโลกแล้ว ลองลืมตาตื่นขึ้นมาดูโลกแห่งความเป็นจริง คนที่ทำได้อย่างนี้จะมีสักกี่คน บางทีแค่ 1 ในล้าน เหมือนกับคนถูกหวยรางวัลที่ 1 เรามัวแต่ไปมองคนที่ถูกหวย แต่ไม่เคยหันมามองคนที่ไม่ถูกเลย มีอีกเป็นล้านๆคน ซึ่งถ้าอยากใช้ชีวิตด้วยความตั้งใจ ไม่อาศัยดวง ควรจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงมากกว่า
โดยพวกพอร์ตเล็กมักจะชอบเป็นพวก Day trade คิดว่าการเพิ่มจำนวนรอบในการเทรดให้เร็วขึ้นจะเป็นตัวเร่งขนาดพอร์ตให้โตขึ้น แต่ลืมคิดไปว่า ยิ่งเราเทรดมากเท่าไหร่ เรายิ่งเสียค่า Commissions เยอะเท่านั้น

เข้าใจว่าขนาดพอร์ตที่เล็กนั้น ถ้าจะเทรดแบบปลอดภัย การเปิด ปิดแต่ละออเดอร์อาจได้เพียงค่าขนม เช่นรอบละ 50 -100 บาท มันอาจทำให้ดูน้อยนิด เทียบกับงานที่ทำอยู่ไม่ได้เลย ซึ่งที่จะแนะนำคือเราควรเทรดพอร์ตจำลองไปก่อน (Demo account) ตั้งเงินทุนที่เหมาะสมจำลองการเทรด ลองเทรดให้ได้กำไรติดต่อกันสัก 3 เดือน แล้วดูผลงาน ถ้าเราสามารถทำกำไรได้ติดต่อกัน แสดงว่าเราสามารถอยู่รอดในการเทรดได้และ และก็พยายามหาเงินทุนให้มาเท่ากับจำนวนเงินที่เคยเปิดพอร์ต Demo ไว้ตอนแรก
แต่ถ้าคุณไม่สามารถหาเงินทุนที่คุณคิดว่าเหมาะสมได้จริง ๆ มันมีหลายทางเลือก
  1. หาเงินทุน : นำผลงานการเทรดของคุณ ไปเสนอต่อนายทุนต่างๆที่สนใจ
  2. สะสมเงินทุนจากงานประจำ : และพยายามเทรดให้กำไรต่อเนื่องทุกเดือน
  3. ทำธุรกิจอย่างอื่นไปด้วย
  4. สมัครพวก prop firm
  5. เปิดคอร์สสอนต่างๆ
แล้วถ้าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพต้องมีเงินทุนเท่าไร่ถึงจะดี คำตอบมักไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่คุณอยู่และความเสี่ยงที่คุณจะรับได้ เช่นคุณอยู่เมืองไทย ค่าครองชีพก็จะต่ำกว่าอยู่อังกฤษ เป็นต้น คุณอาจตั้งค่าใช้จ่ายของคุณเท่ากับ 1% ต่อเดือนของพอร์ต ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด และควรมีเงินทุนสำรองให้อยู่รอดประมาณ 6-12 เดือน เผื่อไว้เพื่อสร้างความปลอดภัยในอาชีพ

ทีมงาน : forexinvestingthai.com

การพัฒนาสู่มืออาชีพ

การพัฒนาสู่มืออาชีพ

การฝึกฝนเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพทุกคนต้องผ่านขั้นตอนนี้ทั้งหมด ไม่มีใครเกิดมาแล้วเก่งเลย ทุกคนล้วนแต่ผ่านการฝึกฝนตั้งแต่ขั้นต้น จนถึงขั้นสูง ทั้งนั้น มีแต่นิยายที่บอกว่าได้พลังวิเศษ เกิดมาแล้วเก่งเลย ในความเป็นจริงทุกสายอาชีพ คนที่เก่งๆ เวลามีให้สัมภาษณ์หรือโชว์แสดงความสามารถให้เห็นนั้น เราเห็นแต่จุดที่เขาประสบความสำเร็จ แต่เราไม่ได้เห็นถึงความยากลำบากในช่วงการฝึกฝนของเขาเหล่านั้นเลย เทรดเดอร์มืออาชีพก็เช่นกัน กว่าจะขึ้นมาใช้คำว่า “มืออาชีพ” ได้นั้น ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน พัฒนาทักษะตัวเองอย่างต่อเนื่อง และในระยะเวลาที่ยาวนาน
จากหนังสือ “The Influence of Experience and Deliberate Practice on the Development of Superior Expert Performance” โดย K. Anders Ericsson ได้แนะนำวิธีการฝึกฝนต่างๆ ดังนี้

#1 การฝึกฝนควรวัดค่าได้ มีการติดตามผลอยู่ต่อเนื่องเพื่อที่จะทราบจุดด้อยและจุดเด่น
#2 การพัฒนาควรเป็นอย่างค่อยไปค่อยไป อาศัยความต่อเนื่องในการพัฒนา แม้ปลายทางอาจจะไกล แต่สุดท้ายยังไงเราก็ไปถึงมันอยู่ดี
#3 วิเคราะห์วิธีการที่ใช้อยู่ เป็นการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพ
#4 ฝึกในสิ่งที่ตัวเองถนัด วิธีการนั้นมีหลายวิธี แต่ให้โฟกัสไปที่วิธีการเดียวที่เราถนัด และฝึกมันอย่างเข้มข้น
#5 ระยะเวลาการฝึกที่ยาวนานไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงการพัฒนาเลย ถ้าหากการกระทำนั้นเป็นเพียง แค่ฝึกๆไป แต่ไม่รู้ว่าฝึกอะไรอยู่ ฝึกเพื่ออะไร การฝึกควรมาจากกระบวนการพัฒนาที่ถูกต้อง การโฟกัส และ พยายามที่จะทำให้มันดีขึ้นอย่างจริงจัง
เราสามารถนำสิ่งที่กล่าวในข้างต้นมาประยุกต์ให้ในการฝึกฝนการเทรดได้ โดยควรโฟกัสวิธีการเทรด หรือสไตล์การเทรดที่เราถนัด และเลือกใช้มันเพียงอย่างเดียว ทำบันทึกการเทรด แล้ววิเคราะห์ถึงวิธีการที่เราใช้เป็นอย่างไร และปรับปรุง พัฒนา วิธีการของเราให้ดีขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป

คุณลักษณะและทักษะที่สำคัญในอาชีพเทรดเดอร์ : เพื่อให้เทรดเดอร์ใช้พลังงานและเวลาในการฝึกฝนได้อย่างถูกต้อง รวมถึงสิ่งเหล่านี้จะส่งผลบวกต่อการเทรดของตัวเทรดเดอร์เอง
วินัย : ควรทำตามแผนการของคุณอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง
อดทน : ไม่จำเป็นต้องเทรดบ่อย อดทนให้เป็น เทรดเฉพาะช่วงที่เรามั่นใจและเป็นไปตามแผนที่วางไว้
โฟกัส : ขณะที่เทรดไม่ควรทำอย่างอื่น โฟกัสที่การเทรดอย่างเดียว
เชื่อมั่นใจตัวเอง : ไม่ต้องไปฟังความคิดเห็นของคนอื่น การตัดสินใจควรมาจากตัวเอง
วางแผน : ก่อนเทรดทุกครั้งควรมีแผนการเทรด
บันทึกการเทรด : คุณไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่คุณเทรดอยู่มันดีหรือไม่ ถ้าคุณไม่ได้ทำบันทึกการเทรด
ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง : แม้จะเทรดแพ้ให้ยอมรับความจริง แล้วพัฒนาสิ่งที่ทำพลาดในอดีต ไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต

ทีมงาน : forexinvestingthai.com

การฝึกทำ “บันทึกเทรด”

การฝึกทำ “บันทึกเทรด”

ขึ้นชื่อว่าการทำบันทึกการเทรดนั้น หลายคนก็รู้ว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เหมือนกับการเข้าวัด ไม่ใช่เรื่องไม่สนุกสนานเลย แม้จะได้ยินเทรดเดอร์อาชีพหลายคนบอกว่ามันสำคัญก็จริง แต่พอมาทำแล้วก็ขี้เกียจ ทำบ้างไม่ทำบ้าง จนสุดท้ายเลยทำ แล้วก็กลับมาเทรดแย่ๆ เหมือนเดิม นี่แหละเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างผู้แพ้กับผู้ชนะออกจากกัน
เทรดเดอร์มืออาชีพเค้าก็รู้สึกเบื่อกับการทำบันทึกการเทรดนั่นเหละ แต่ในอีกแง่หนึ่งเขากลับรู้ว่าการทำบันทึกการเทรดนั้นจะเป็นตัวช่วยให้เค้าอยู่รอดในอาชีพเทรดเดอร์ เขาเลยให้ความสำคัญกลับมัน ทำมันให้เป็นนิสัย เค้าบอกว่าถ้าเราทำสิ่งเดิมซ้ำๆ ตลอด 3 เดือน แม้สิ่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ เราจะติดมันเป็นนิสัยเรา คล้ายกับการออกกำลังกาย มันจะยากในช่วงแรกๆ รู้ว่ามันดีกับตัวเรา แต่คนส่วนมากมักจะไม่ทำ โดยเมื่อเราได้เริ่มทำมันทุกวัน สักระยะหนึ่งมันจะกลายเป็นนิสัย วันไหนไม่ได้ออกกำลังกายจะรู้สึกแปลกๆ การทำบันทึกเทรดก็เช่นกัน แรกๆอาจจะฝืน แต่พอได้ทำมันทุกวันจนคล่อง เราจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นงาน แต่มันคือตัวเราเลย

จริงอยู่ที่ มันง่ายมากเลยที่เราจะนั่งฟังเพลงแทนที่จะเริ่มทำบันทึกการเทรด หรือไม่ก็รู้สึกดีเมื่อออกไปเดินเล่นกับเพื่อน มากกว่าการทำบันทึกการเทรด ต้องบอกก่อนเลยว่าไม่มีเลยที่ได้มาง่ายๆ บางสิ่งต้องอาศัยความพยายาม ความเสียสละบางอย่าง เพื่อให้ได้อีกบางอย่าง สำหรับการทำบันทึกการเทรดเป็นการแลกเพื่อที่จะพัฒนาความสามารถในการเทรดให้ดีขึ้น สร้างวินัยให้กับตัวเอง ถ้าคุณจะจริงจังกับการเทรดคุณควรทำมัน
วิธีช่วยในการทำบันทึกเทรด
#ให้รางวัลกับตัวเอง : เมื่อทำบันทึกเทรดเสร็จสิ้น ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง เพื่อเป็นตัวกระตุ้นเรา ว่าเราสามารถทำตามวินัยได้ เช่น ดูหนัง , เที่ยวเล่น , กินข้าวดีๆ เป็นต้น การสร้างความเคยชินในทางที่ดี เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพควรทำ
#เตรียมเครื่องมือไว้เลย : นักออกกำลังกายจะรู้กันดีว่า เมื่อจัดเตรียมอุปกรณ์การออกกำลังกายก่อน ตั้งแต่กลางคืนวันก่อน ข้อแก้ตัวในการไม่ออกกำลังวันถัดไปจะเกิดขึ้นยาก เช่นเดียวกับการทำบันทึกเทรด ตั้งสมุด ดินสอ ปากกา ไว้ที่โต๊ะเทรดเลย ให้มันสะดวก ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
#จัดตารางกิจวัตรประจำวัน : การจัดตารางกิจวัตรประจำวันในแต่ละวันว่าควรจะทำอะไรบ้าง และแต่ละกิจกรรมทำในช่วงไหน เพื่อให้จัดการเวลาในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทีมงาน : forexinvestingthai.com

การเทรด กับ การพนัน

การเทรด กับ การพนัน


การเทรดนั้นแทบไม่ต่างอะไรจากการพนันเลย เป็น Zero-sum game ผู้ชนะเอาเงินจากผู้แพ้ โดยเงินในระบบนั้นมีเท่าเดิม แต่แค่เปลี่ยนที่อยู่จากที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งในที่นี้ทำให้ผู้คนส่วนมากคิดว่าการเทรด หรือ การพนันนั้นเป็นสิ่งไม่ดี ทั้งคนรอบข้าง ครอบครัว ต่างบอกว่าไม่ดีทั้งนั้น
บางทีอาจเป็นความเข้าใจผิดของคนเราที่ไปตัดสินเอาเองว่าสิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนี้ไม่ดี โดยที่ยังไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง การเป็นเทรดเดอร์อาจต้องทนอยู่กับสิ่งที่บอกคนอื่นรอบข้างไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ อาชีพที่ทำอยู่นั้นมันเป็นอย่างไร เห็นวันๆนั่งแต่หน้าคอมพิวเตอร์
อะไรที่เกี่ยวข้องกับการพนันนั้นสังคมจะถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นสิ่งไม่ดี ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สังคมตัดสินขึ้นมาเอง ขอยกตัวอย่างเช่น เหล้า กับ กัญชา โดยการบริโภคเหล้าในกฎหมายทั่วโลกถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย สังคมยอมรับได้ แต่กับ กัญชา กฎหมายระบุเป็นยาเสพติด ผิดต่อสังคม สังคมไม่ยอมรับ แต่! ในความเป็นจริง เหล้านั้นเป็นสาเหตุให้คนถึงแก่ความตายมีนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยใครเคยเสียชีวิตจากกัญชาเลยสักคน ซึ่งจะบอกว่าสิ่งที่สังคมตัดสินนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามตรรกะ
คนส่วนมากมักใช้ชีวิตตามการฟังความคิดเห็นการคนอื่น ตัดสินบางสิ่งจากความคิดของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป และได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ก็จะเปลี่ยนความคิดนั้นไปในทางที่ถูก เช่น ตอนเด็กๆ เชื่อว่า แซนตาครอสมีจริง พอโตขึ้นมาก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องเล่า นิทาน ให้เด็กๆสนุกเท่านั้น
มันง่ายมากที่เราจะถูกหลอกจากสิ่งเหล่านี้ เพราะคำพูดสวยหรู จากคนที่ไม่รู้ว่าใคร และได้พูดต่อๆกันมา จนทำให้เราเชื่อ เนื่องจากพื้นฐานมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่อยากแตกแยก ทั้งความคิด และการใช้ชีวิต
ซึ่งถ้าเราจะเป็นเทรดเดอร์ที่ดี การเทรดนั้นไม่ได้มาจากความเชื่อ แต่มาจากความจริง ควรแยกแยะสองสิ่งให้ถูกให้ออกจากกัน ไม่ควรฟังความคิดเห็นของคนอื่น ควรมั่นใจในตัวเราเอง สิ่งที่เราเห็นจริงๆ ควรตั้งถามกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันสมเหตุสมผลจริงๆหรือป่าว
ทีมงาน : forexinvestingthai.com